Ufail The Assassin วิถีนักฆ่า
ผู้เข้าชมรวม
187
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ยุคสมัยที่ผ่านมาเนิ่นนานในกาลสมัยที่สงครามยังมีเพียงกระแสบ้าคลั่งแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทุกผืนดิน เสียงโลหะกระทบกันในสนามรบ เสียงโห่ร้องของทหารรับจ้างเรียกกำลังใจให้ตันดังพอกับเสียงกรีดร้องและเสียงกระดูกที่ถูกบดละเอียดด้วยเกือกม้า ถัดออกไปจากสนามรบเป็นพื้นที่ป่าทึบ ข้าอยู่ที่นั่นซ่อนตัวภายใต้ร่มไม้หนาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวในสนามรบ เสียงแตรสงครามดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าทัพเสริมของมิดแลนด์ได้มาถึง ภายใต้การนำทัพของอิฐสตรีธิดาผู้มากความสามารถของพระราชา ข้าเลื่อนสายตาไปยังกำแพงหินสูงตระหง่านสุดเขตของชายแดนอาณาจักรคอคัส ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังรู้ว่าป้อมปราการนั่นต้านไว้อย่างนานที่สุดก็อาจจะสักสามวันไม่เกินกว่านั้น
ข้าตรวจดูสภาพความพร้อมของอุปกรณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนขยับผ้าขึ้นบังส่วนครึ่งล่างของใบหน้าปิดทับอีกชั้นด้วยผ้าคลุมศีรษะเปื้อนฝุ่นสีเทา ใช้ส้นเท้าเตะสีข้างม้าเบาๆบอกให้มันเริ่มเดิน ทางเข้าป้อมปราการมีอยู่สามทาง ทางแรกประตูหน้าที่ยกสะพานขึ้นขวางด้วยคลองกว้างยี่สิบเมตร ส่วนความลึกข้าไม่เคยวัด คิดว่าข้าคงไม่มีปัญญาตัดโซ่เหล็กหนาเป็นเมตรด้วยลูกดอกหน้าไม้เล็กๆได้แน่ ทางที่สองว่ายน้ำเข้าไปทางช่องลับกระแสน้ำนิ่งสนิทไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ปัญหาอยู่ที่ระยะทางและน้ำหนักชุดเกราะที่ทวีเพิ่มเป็นสามเท่าทันทีที่มันได้ไหลเข้าไปในเกราะเหล็กกล้าที่ว่ากันว่าทนนักทนหนา ส่วนตัวข้าแล้วไม่มีปัญหาแต่ข้ายังไม่มีอารมณ์เล่นน้ำ
เจ้าอาชาสีหมอกวิ่งควบเข้าไปในสนามรบ ข้าค้อมตัวให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้เพื่อลดแรงต้านของลมและหลบลูกธนูที่ลอยว่อนอยู่บนท้องฟ้าเยอะยิ่งกว่าฝูงนกย้ายถิ่น การเข้ามาในกระแสสงครามเป็นเรื่องที่บ้ามาก ข้าอาจจะถูกทหารไม่ฝ่ายไหนก็ฝ่ายหนึ่งแทงด้วยหอกหรือยิงด้วยหน้าไม้
ฝุบ
ข้าคิดพลางซัดมีดสั้นที่คาดกับสายหนังบนข้อมือเข้าตรงคอหอยผ่านรอยต่อเล็กๆของหมวกเหล็กกับชุดเกราะ คราวหลังก็อย่าควบม้าเล็งหอกยาวมาทางนี้อีกข้าไม่ชอบ
จะต้องไม่เป็นที่สะดุดตา ทำตัวราวกับภูตพรายล่องหน จำขึ้นใจว่าความมืดคือพี่น้องของเจ้า
ข้าท่องได้ฝังหัวไม่มีสะดุดกับคำสอนที่ยึดถือในหมู่คนโลกเบื้องหลัง ถ้าให้เปรียบตอนนี้ข้าก็เหมือนล่องหนเพราะวินาทีนี้ไม่มีใครเห็นหัวสนใจข้าอยู่แล้วหรืออาจจะมีหลังจากที่ข้าเพิ่งขว้างมีดอีกเล่มใส่นายกองที่ชี้ดาบมาทางข้า ช่างเถอะ แล้วก็อีกอย่างนี่มันกลางวันแสกๆพี่น้องข้าคงไม่ช่วยอะไรในยามนี้หรอก
เจ้าสีหมอกฝ่ากองทหารมานับสิบชนิดอีกฝ่ายเทียบไม่ติดฝุ่น ตัวกำแพงอยู่อีกไม่ไกล วิธีที่สามที่จะข้าไปในปราการนั้นได้คือปีน…ฟังไม่ผิดหรอก ปีนบนกำแพงสูงเกือบร้อยเมตรนั่นแหละ
ฉับ
ไอ้บัดซบ…
ข้าจ้องเขม็งไปยังอัศวินเกราะเงินบอกยี่ห้อทหารขุนนางของคอคัส มันสั่งให้ม้าหยุดชี้ดาบมาทางข้าแล้วทำท่าเชือดคอหลังจากที่มันเพิ่งทำเกราะเบาที่กำบังส่วนท้องของข้าบิ่น ข้าปลดสายคล้องโยนเกราะทิ้งลงกับพื้นไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่ลดลงเลยสักนิด
“ข้าชื่ออาลัน อัศวินผู้พิชิตสงครามแดนใต้ตัดหัวแม่ทัพใหญ่ของศัตรู อั่ก” หลังจากที่ฟังมันพล่ามพอเป็นพิธีข้าหยิบหน้าไม้ที่สะพายด้านหลังออกมายิงเข้าเบ้าตามันไปหนึ่งนัด
“กะ แก!” ยังไม่ตาย? ทนทายาทกว่าที่คิดไว้ ข้าใส่ลูกดอกรั้งเอ็นหน้าไม้เล็กยิงเข้าตาอีกข้างของมันกลัวไม่ครบคู่ ตอนนี้เจ้าสีหมอกหยุดอยู่ตรงแนวหลังตรงประตูหน้าป้อม ให้เดาเจ้าสีหมอกคงอยากกระโดดข้ามท่อนซุงเหลาแหลมที่ตั้งเอียงรอเสียบตัวอะไรโง่ๆแถวนี้ใจจะขาดแต่ข้าเดาว่ามันคงไม่อยากลงไปในหลุมโคลนถัดไปอีกมากนัก
“แล้วเจอกันเพื่อนยาก” หลังจากลงจากหลังและตบหลังมันเบาๆ เจ้าสีหมอกก็วิ่งอ้อมสนามรบไปอีกทาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงว่ามันจะถูกลูกดอกปักหัวเอา ข้ากระโดดข้ามบ่อโคลนมายังอีกฝั่งเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้ามาในค่ายทหารที่ตั้งกระโจมหน้าบึงเป็นแนวป้องกันสุดท้าย ต้องผ่านจุดนี้ไปแบบไม่ให้มีใครรู้ตัว
“เฮ้ เจ้าตรงนั้นน่ะ” เยี่ยม ยังไม่ทันจะครบสิบก้าวก็ถูกเจอตัวแล้ว ข้าปลดสายสะพายหน้าไม้ออกยิงลูกดอกเข้ากลางหน้าผากของนายทหารผู้โชคร้ายถือว่าเจ้าซวยเองก็แล้วกัน ข้าขยับมาได้อีกสองก้าวก็ถูกทหารอีกสองนายชี้หน้าพร้อมวิ่งตรงมาทางนี้
ข้าเล็งหน้าไม้ขึ้นขู่ ทหารสองคนนั้นไม่มีท่าทีหวาดกลัวยังคงวิ่งต่อมาเรื่อยๆคงคิดว่าถึงยิงไปก็โดนแค่คนเดียวส่วนอีกคนจะเข้าถึงตัวข้าได้สินะ
คิดผิดไปนิดหนึ่ง…
ข้าหยิบหน้าไม้อีกอันที่คาดบนไหล่ขวาออกมาใส่ลูก ทหารสองคนนั้นหยุดฝีเท้าแทบจะทันทีแต่ช้าไปข้าเหนี่ยวไกออกไปแล้ว ลูกแรกปักบนหน้าอกทะลุเกราะนายทหารวัยกลาง ลูกที่สองโดนแขนทหารวัยรุ่น การยิงหน้าไม้สองมือนี่เล็งยากเหมือนกัน
“มีผู้บุกรุก! มีผู้บุกรุก!” เจ้านั่นแหกปากลั่นร้องเหมือนกำลังโดนตอนไปโยนให้เป็ด จากนั้นอีกประมาณสิบวินาทีเสียงฝีเท้ามากมายได้หยุดรายล้อมอยู่รอบกายข้า ก็ได้ข้ายอมรับว่าข้างี่เง่า การยิงหน้าไม้สองมือแบบเท่ๆนับเป็นหนึ่งในความฝันของข้าเลยเชียวนะ
ข้าโยนหน้าให้หนึ่งในกลุ่มทหารที่รับด้วยความสงสัยแล้วลงไปกองกับพื้นด้วยมีดที่ปักคาอก พริบตาต่อมาชายฉกรรจ์นับสิบภายใต้เกราะเหล็กดูน่าเกรงขามวิ่งกรูกันเข้ามาราวกับหมาล่าเหยื่อกำลังรุมทึ้งเหยื่ออันโอชะ
ขอโทษ บังเอิญข้าไม่ใช่หมู
ลูกดอกอีกลูกถูกยัดบนหน้าไม้เหนี่ยวไกให้เอ็นรั้งดีดดังผึงปล่อยลูกดอกไปปักหัวใครสักคนแถวนั้น มืออีกข้างข้าดึงดาบออกมาจากฝักที่คาดไว้ตรงเอวเข้าฟาดฟันกับเหล่าทหารรับจ้างชำนาญศึก ข้าจะดูเหมือนเก่งกล้าสามารถถ้าไม่เพลี่ยงพล้ำในดาบที่สามกับเจ้าล่ำ ดาบเล่มงามถูกเกี่ยวตวัดลอยว่อนขึ้นฟ้าก่อนตกลงมาปักพื้น มันยิ้มเยาะเย้ยง้างดาบขึ้นสูงหวังจะฟันหัวข้าเป็นสองท่อน จังหวะนั้นข้าใช้หน้าไม้เกี่ยวคอมันเข้ามาประชิดตัวและบิดข้อมือปล่อยมีดสั้นไหลลงบนฝ่ามือ ตวัดผ่านเว้นเลือดใหญ่บนลำคอแข็งปล่อยให้มันลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้น เรื่องดวลดาบแบบอัศวินข้ากระจอกอย่าบอกใคร แต่ถ้าเรื่องลอบกัดขอให้บอก
ก็ข้าเป็น ‘นักฆ่า’ นี่นา
เสียงฝีเท้าหยุดนิ่งทุกสายตาที่จับจ้องมายังข้าล้วนกระหายเลือด พวกนั้นดูไม่ตกใจหรือสนที่เพื่อนร่วมทัพถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ในหัวของพวกนั้นคิดแค่ว่าจะฆ่ายังไงหรือข้ามีค่าหัวเท่าไหร่เป็นทหารฝ่ายใด ข้านิยามบุคคลที่พบในสงครามสามอย่าง
อัศวิน ตัวตนของบุคคลที่คิดว่าตัวเองสูงส่งส่วนใหญ่เป็นขุนนาง หยิ่งในเกียรติ ศักดิ์ศรีของตนประหนึ่งว่าถ้าขาดมันไปชีวิตก็ไร้ความหมาย ยึดมั่นหลักคุณธรรมจรรยาบรรณที่ดีงามเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานซึ่งคนพวกนี้ เข้าข่ายหน้าอนุรักษ์ไว้ทำเป็นอนุสรสถาน
ทหารรับจ้าง พวกนี้มีหลายหลายรูปแบบทั้งดีเลวปนกันไป ส่วนใหญ่ละโมบโลภมากในทรัพย์สมบัติ ตำแหน่งในกองทัพและอื่นๆอีก ยังมีพวกหน้ากลัวที่กระหายการฆ่าฟันหวังก่อสงครามซึ่งประเภทนี้อันตรายข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว
สุดท้ายนักฆ่า พวกนี้มีส่วนคล้ายทหารรับจ้างแต่ก็ไม่เหมือน นักฆ่าไม่ใช่ทหารที่เอาไว้ทำสงคราม เป็นตัวตนในเงามืดเมื่องานเสร็จก็อันตธานหายไป มีอยู่อีกสามประเภท ทำเพื่อเงิน ทำเพราะชอบ ทำเพื่อเอาชีวิตรอด
ข้าน่ะอยู่ประเภทสุดท้าย
ปิดบังโฉมหน้า ทำงานอย่างเงียบเชียบ รวดเร็วและไม่ผิดพลาด
กฎของตาแก่งี่เงาลอยเข้ามาในหัวข้า ถึงข้าจะชอบทำงานแบบโจ่งครึมแต่ถ้าใบหน้าข้ายังไม่ถูกเปิดเผยก็นับว่าโอเค รีบสลัดความคิดไร้สาระออกไปดีกว่า มีคนใจดีสอนข้ามาว่าถ้ามัวคิดว่าจะทำยังไงในสนามรบ รู้ตัวอีกทีจะไม่เห็นเงาหัวตัวเอง ข้าปล่อยหน้าไม้ทิ้งลงกับพื้นดึงมีดยาวสองเล่มถือไว้ทั้งสองมือ พวกทหารพวกนี้มีกำลังมากและชำนาญการรบประชิด มองดูยังไงข้าก็คงไม่รอด
“ฆ่ามัน!” เหมือนเป็นการส่งสัญญาณการรุมประชาทันฑ์นักฆ่าผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางดงทหารหนึ่งกองร้อย ฟังดูอาจไม่ดีนักแต่ในสงครามคนแพ้ก็ตายคนชนะก็รอด ข้ายืนนิ่งเหมือนคนปลงแล้วซึ่งชีวิตรอจนพวกนั้นเข้ามาใกล้แล้วขว้างสิ่งที่ซ่อนในมือทั้งสองลงพื้น
ตูม
ควันฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายจากพื้นดินกลายเป็นหมอกบังตา เสียงสำลักควันดังขึ้นพร้อมกับเสียงโวยวายเหวี่ยงอาวุธมั่วซั่ว ไม่นานทุกสรรพเสียงก็เงียบลงเมื่อลมพัดควันระเบิดฝุ่นหายไปจนหมด พื้นที่นี้เหลือเพียงข้ากับซากศพเกลื่อนพื้นเป็นการประกาศศักดาตัวเองให้พวกที่เหลืออกสั่นขวัญผวา ข้าก้มลงเช็ดมีดเปื้อนเลือดกับศพใกล้ตัวสอดส่องสายตามองดูทหารที่เหลือซึ่งมากเกินระเบิดฝุ่นของข้าจะมีใช้ จะเอายังไงหนีเลยไหม ไม่เอาน่ามาถึงขนาดนี้แล้วกลับไปมือเปล่าข้าคงเซ็งแย่
“เจ้าคนถ่อย เจ้าเป็นใคร” ข้าตวัดสายตาข้ามหัวทหารไปยังอาคันตุกะผู้มาใหม่ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวผู้มีศักดิ์เป็นพาราดีนแห่งราชวงศ์
เยี่ยม ทำไมข้าไม่ได้ข่าวว่านางจะมาบัญชาการรบที่เขตชายแดนนี่
งานนี้ข้าอาจจะต้องกลับไปมือเปล่าโดยไม่ได้เด็ดหัวท่านเซอร์เอมเมอเลสที่กำลังนั่งไขว่ห้างใจเย็นอยู่บนหอคอยกระมัง
แกร๊ก
อีกทิศหนึ่งมีทหารรับจ้างหนุ่มรูปร่างกำยำเดินสะพายดาบยักษ์ออกมาจากกลุ่มทหารเลว หมอนั่นเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของข้าเป็นอย่างมาก
“เจ้ามาดวลกับข้า”
นี่มันวันรวมญาติรึไง ด้านซ้ายก็พาราดีนหญิงด้านขวาก็ทหารรับจ้างผู้มีชื่อเสียง พระผู้เป็นเจ้านี่ท่านทรงประทานบททดสอบอะไรมาให้กับข้า ท่านอยากให้ข้าขึ้นไปรับใช้ท่านถึงขนาดนั้นเลยตัดด้ายแห่งโชคชะตาของข้าใช่ไหม
ก็ได้ข้าน้อมรับคำท้า
คิดแล้วข้าก็กำด้ามมีดแน่นและยืนประจัญกับคนทั้งสอง
ผลงานอื่นๆ ของ คนนะไม่ใช่คน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ คนนะไม่ใช่คน
ความคิดเห็น